พิธีกรรม ใครว่าไม่สำคัญ

Somdet Phra Buddhaghosacariya (P. A. Payutto)

พิธีกรรม ใครว่าไม่สำคัญ1

- ๑ -
พิธีกรรมสื่อวินัย

ในพระพุทธศาสนานี้ สิ่งที่เหนือกว่าพิธีกรรมยังมีอีกหลายอย่าง แต่เดี๋ยวนี้เรามองเห็นกันว่าชาวพุทธใส่ใจในเรื่องที่สำคัญๆ เหล่านั้นน้อยไปหน่อย แล้วก็มัวไปเน้นในด้านพิธีกรรมกันมากไป อย่างไรก็ตาม จะต้องเข้าใจว่าเรื่องพิธีกรรมนั้นไม่ใช่ไม่สำคัญ ในบางโอกาสเราน่าจะพูดกันถึงเรื่องพิธีกรรมให้ชัดลงไปว่า เราควรจะปฏิบัติต่อมันอย่างไร อย่างน้อยก็จะได้เอาสิ่งที่เป็นอยู่ปรากฏอยู่มาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อเป็นสื่อนำเข้าสู่สิ่งที่สำคัญยิ่งขึ้นไป

ถ้าเราไปมองว่าอย่ามาวุ่นวายในเรื่องพิธีกรรมนี้เลยไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่ตัวแท้ตัวจริงของพระพุทธศาสนา แล้วเลยไม่เอาใจใส่ ก็อาจจะทำให้พลาด ในเมื่อมันเป็นของมีอยู่ปรากฏอยู่ก็ต้องทำให้ถูกต้อง ถ้าเราเข้าใจความหมายถูกและปฏิบัติให้ถูก ทำด้วยความรู้ความเข้าใจ มันก็จะเป็นสื่อนำเข้าสู่สิ่งที่ถูกต้องดีงามยิ่งขึ้น จนถึงสิ่งที่เป็นหลักการของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น พิธีกรรมนี้ถ้าเข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติถูกต้อง ก็จะกลับนำเข้าสู่พระพุทธศาสนาได้ดี

เหลือปราการสุดท้าย
จะทิ้งค่าย หรือจะใช้ยันเดินหน้ากลับ

เวลานี้เรารู้สึกกันว่าพระพุทธศาสนาเสื่อม หลายคนบอกว่า “มันเสื่อมจนเหลือแต่พิธีกรรม แย่แล้วพระพุทธศาสนา” ทีนี้เรามองพลิกกลับเสียใหม่ว่า พระพุทธศาสนายังเหลือพิธีกรรมอยู่ ก็แสดงว่ายังไม่หมดไปทีเดียว ยังคงเหลือพิธีกรรมเป็นรูปแบบอยู่ ตามธรรมดานั้นรูปแบบต้องมีเนื้อหาสาระจึงจะถูกต้อง เมื่อเหลือแต่รูปแบบไม่มีเนื้อหาสาระก็ไม่มีความหมายอะไร เหมือนกับคน ถ้ามีแต่ร่างกายก็คือศพ เมื่อไม่มีจิตใจก็คือของตายแล้วเท่านั้นเอง คือเหลือแต่ซาก

มองในแง่หนึ่ง พระพุทธศาสนาถ้าเหลือแต่พิธีกรรมจริงๆ ก็คือเหลือแต่ซาก แต่มองอีกแง่หนึ่งก็อาจจะเป็นได้ว่า มันไม่ใช่คนที่ตายก็ได้ มันอาจจะเป็นร่างที่หลับอยู่ ยังไม่ถึงตาย ร่างกายคนหลับทำอะไรไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ แต่ก็ยังไม่ตาย ชีวิตของเรายังต้องอาศัยมัน เมื่อยังมีร่างกายอยู่ก็ยังทำให้มันมีชีวิตกลับคืนมาได้ คือทำให้มันตื่นกลับขึ้นมา แล้วมันก็อาจจะเดินหน้าใหม่ได้

เพราะฉะนั้น พิธีกรรมนี้ในแง่หนึ่งก็เหมือนที่มั่นหรือปราการสุดท้ายของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามาถึงขณะนี้ก็จวนจะหมดแล้ว แต่ก็ยังมีป้อมค่ายสุดท้ายเหลืออยู่ ทำไมเราไม่อาศัยปราการสุดท้ายนี้ เป็นที่ตั้งหลักให้ดีแล้วเดินหน้ากลับไปอีก

การที่ยังมีพิธีกรรมอยู่ ในแง่หนึ่งก็แสดงว่าพระพุทธศาสนายังไม่หมดไปสิ้นทีเดียว ทำอย่างไรเราจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ เราไม่ควรจะมามัวทอดถอนใจ ตรอมใจว่า โอย จะหมดแล้ว พระพุทธศาสนามาถึงที่สุดแล้ว แต่ควรคิดว่า โอ้ พุทธศาสนายังเหลืออยู่นี่ ดีแล้ว เราจะอาศัยส่วนที่เหลืออยู่นิดหน่อยนี้เป็นหลักในการเดินกลับไปสู่ความก้าวหน้าที่ถูกต้องใหม่ ถ้าคิดได้อย่างนี้ก็กลับเป็นดีไป เรียกว่ารู้จักมองให้เป็นประโยชน์ สิ่งทั้งหลายถึงแม้ว่าจะแย่แล้วแต่ถ้าเรามองเป็นก็กลับใช้ประโยชน์ได้

พิธีกรรมนี้มีประโยชน์หลายอย่าง พิธีกรรม แปลว่าการกระทำที่เป็นพิธี คือเป็นวิธีที่จะให้สำเร็จผลที่ต้องการ หรือ การกระทำที่เป็นวิธีการเพื่อให้สำเร็จผลที่ต้องการ หรือนำไปสู่ผลที่ต้องการ

คำว่า พิธี ก็แผลงมาจากคำว่า วิธี นั่นเอง แต่มาในภายหลัง คำว่า พิธี มีความหมายเลือนลางหรือคลาดเคลื่อนไป ก็เหมือนกับสิ่งอื่นๆ ที่เป็นอนิจจังเช่นเดียวกัน เดี๋ยวนี้เรามาประดิษฐ์ศัพท์กันขึ้นใหม่ เช่น คำว่ากรรมวิธี ซึ่งสมัยโบราณไม่มี แล้วกลับเป็นศัพท์โก้ซึ่งที่จริงก็อันเดียวกันนั่นแหละ กรรมวิธีไม่ใช่อะไร อาจจะใช้ในความหมายแตกต่างกันไปบ้าง แต่ตัวถ้อยคำก็มีความหมายแบบเดียวกัน ทำนองเดียวหรือประเภทเดียวกัน เพียงกลับหน้ากลับหลังกัน พิธีกรรม คือ วิธีกรรม กลายเป็น กรรมวิธี พอมาถึงปัจจุบันมันเลือนไปจนกระทั่งว่า พิธีกรรม หรือ วิธีกรรม คือสิ่งที่ทำกันไปอย่างนั้นเอง หรือสักแต่ว่าทำ เช่น พูดกันว่า ทำพอเป็นพิธี กลายเป็นว่า ไม่จริงไม่จัง ทำพอให้เห็นว่าได้ทำแล้ว แต่ที่จริงเดิมนั้นมันคือการกระทำที่เป็นวิธีการ เพื่อจะให้สำเร็จผล เพื่อจะให้เกิดความเป็นจริงเป็นจัง เพื่อจะให้ได้ผลขึ้นมาเราจึงทำพิธีกรรม

พิธีกรรม เป็นจุดนัดหมาย
ให้ตั้งใจเริ่มทำการอย่างจริงจัง

เวลาจะทำอะไรก็ตาม ถ้าเราไม่มีเป็นพิธีขึ้นมา เราก็ไม่มีจุดนัดพบนัดหมาย ไม่มีจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนว่าจะลงมือเมื่อไร จะเอาอย่างไร จะทำอะไร คนมาชุมนุมกันเป็นกลุ่ม ถ้าทำอะไรต่างคนต่างทำก็ไม่เป็นจริงเป็นจัง แต่พอเป็นพิธีกรรมก็คือมีจุดเริ่มต้น แล้วก็เป็นจุดนัดหมายให้ทุกคนรู้ว่าต่อไปนี้กิจกรรมจะเริ่มแล้วนะ ถ้าไม่มีพิธีกรรม ทุกคนที่มายังกระจัดกระจายกันอยู่ ก็ไม่รู้จะเอายังไง จะทำอะไร จะเริ่มต้นอย่างไร เมื่อไร

เพราะฉะนั้น พิธีกรรมนี้ จึง

๑. เป็นจุดนัดพบให้ทุกคนที่ตอนแรกยังกระจัดกระจายอยู่ มารวมกันเป็นจุดเดียว

๒. เป็นจุดนัดหมายว่าจะเริ่มเรื่องนั้นแล้ว

พิธีกรรมเป็นเครื่องทำให้คนเตรียมตัว ทั้งเตรียมกายวาจา และเตรียมใจให้พร้อมที่จะทำเรื่องนั้นๆ ก่อนจะถึงพิธี ยังพูดจา ยังหันไปทางโน้นทางนี้ ยังเคลื่อนไหววุ่นวายกันอยู่ ยังคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่พอบอกว่าเริ่มพิธี ทุกคนก็หยุดหมด ต้องหันมาสนใจ เตรียมทำสิ่งเดียวกัน ฉะนั้น พิธีกรรมจึงเป็นจุดนัดพบและเป็นจุดนัดหมาย โดยเฉพาะสำหรับชุมชนหรือหมู่ชนในสังคมนี้ ให้มองเห็นความสำคัญที่จะเริ่มการอะไรๆ กันอย่างจริงจัง

ว่าที่จริง การทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องของชุมชน หรือเรื่องของส่วนรวม ก็ต้องมีพิธีกรรมทั้งนั้น อย่างเช่นจะมีการประชุมสักครั้งหนึ่ง ก็ต้องมีพิธีกรรม มันอาจจะไม่ใช่พิธีกรรมตามแบบอย่างที่เราเข้าใจ ที่เป็นของโบราณ เป็นศาสนพิธี แต่พิธีกรรมก็คืออันนั้นแหละ เช่น ลำดับการกระทำต่างๆ ในการประชุม การเปิดประชุม การปฏิบัติต่อกันในที่ประชุม เช่น เวลามีปาฐกถา มีการขึ้นไปบอกกล่าวนัดหมายที่ประชุมและเชิญผู้แสดงปาฐกถาขึ้นไป นี่เป็นพิธีทั้งนั้น

พิธีกรรมก็อันนี้แหละ คือจุดเริ่มต้นของการที่จะกระทำให้จริงจัง เป็นจุดนัดหมายที่จะทำให้กิจการนั้นมีการเอาจริงเอาจังกันขึ้นมา ให้ทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้พร้อมที่จะทำในเรื่องนั้น อันนี้ก็เป็นความหมายอย่างหนึ่งที่ง่ายๆ ในเรื่องพิธีกรรม

พิธีกรรม เป็นวินัยพื้นฐาน
และนำคนให้ประสานเข้าในชีวิตชุมชน

อย่างไรก็ตาม พิธีกรรมยังมีความหมายมากกว่านั้นอีก คือ เป็นเครื่องฝึกวินัย หรือ เป็นพื้นฐานในการที่จะฝึกฝนพัฒนาคนในด้านศีล

ศีลก็คือ การควบคุมกายวาจาได้ ให้อยู่ในความดีงามเรียบร้อยสุจริต แต่เราจะคุมกายวาจาให้ดีงามสุจริตในเรื่องใหญ่ๆ เป็นศีลได้ ก็ต้องควบคุมกายวาจา ตั้งแต่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นไป พิธีกรรมเป็นเครื่องฝึกกายวาจาให้อยู่ในระเบียบ เพราะฉะนั้น พิธีกรรมจึงเป็นวินัยขั้นต้น การให้คนเข้ามาสู่พิธีกรรมนั้นทำเพื่ออะไร ความหมายอย่างหนึ่งก็คือเพื่อฝึกคนให้จัดหรือควบคุมพฤติกรรมของตนๆ ให้ลงตัวเข้าที่ เช่น ให้มานั่งเป็นระเบียบ ให้สงบกายวาจา และให้ทำตามลำดับตามแบบตามแผนที่ตกลงกัน ให้หมู่คนเรียบร้อยงดงาม และทำกิจกรรมอย่างได้ผลพร้อมเพรียงกัน เป็นส่วนหนึ่งของวินัย เป็นการฝึกเบื้องต้นของศีล

คนที่อยู่ในชุมชนร่วมกันทั้งหมดนี้จะมีศีล คือมีพฤติกรรมดีงาม ไม่เบียดเบียนกัน ก็ต้องรู้จักควบคุมกายวาจาของตนเองได้ ไม่ทำตามใจชอบของตัว ถ้าเอาแต่ใจชอบอย่างเดียวก็เบียดเบียนกัน การทำพิธีกรรมหรือเข้ามาร่วมในพิธีกรรมนี้ เป็นการฝึกคนให้เริ่มรู้จักระเบียบแบบแผน ให้เริ่มที่จะไม่ทำตามใจชอบของตน นี่แหละคือการเริ่มรู้จักควบคุมพฤติกรรมของตัวเองได้ อย่างเด็กๆ ก่อนจะไปควบคุมตัวเองในเรื่องใหญ่ๆ ได้ ก็อาศัยการฝึกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แหละ แต่เราจะต้องรู้จักโยงให้มันไปเชื่อมโยงต่อกัน เรื่องของพิธีกรรมจึงเป็นการฝึกวินัย หรือเป็นวินัยเบื้องต้นที่จะนำเข้าสู่การที่จะเป็นคนมีศีล พิธีกรรมจึงจัดอยู่ในฝ่ายของศีลด้วย พิธีกรรมถ้าจะทำให้ถูกต้องก็ต้องเข้าใจความมุ่งหมายอันนี้

เมื่อเรานำพิธีกรรมมาใช้ในการฝึกคน มันก็มีความหมายต่อไปอีกในแง่ที่ว่าเป็นเครื่องนำคนเข้าสู่ชุมชน ให้เขามีชีวิตของชุมชนนั้นหรือของสังคมนั้น

เป็นธรรมดาของหมู่มนุษย์ที่คิดว่า เด็กรุ่นใหม่เกิดมาแล้วจะให้เขาอยู่ร่วมในชุมชนหรือในสังคมได้อย่างไร พอเรามีพิธีกรรมอะไรต่างๆ ขึ้นมา เด็กก็จะเริ่มเข้าสู่ชุมชนนั้น และเข้าสู่วิถีชีวิตของสังคมนั้น เขาเริ่มเรียนรู้ว่าระเบียบแบบแผน วัฒนธรรม ประเพณีของชุมชนหรือสังคมนั้นเป็นอย่างไร และด้วยการร่วมพิธีกรรมนั้น ซึ่งเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรม เขาก็กลมกลืนเข้าไปในชีวิตของชุมชน และในวัฒนธรรม พิธีกรรมก็จึงกลายเป็นลักษณะหรือเป็นรูปแบบเฉพาะแห่งวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ อย่างที่เรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ อันนี้ก็เป็นคุณค่าอีกด้านหนึ่งของพิธีกรรม ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับศีล อันสืบเนื่องจากวินัย ที่แสดงผลออกมาทางด้านวัฒนธรรม เป็นเรื่องของชีวิตชุมชน หรือของหมู่คณะ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสังคม

พิธีกรรม เป็นเครื่องน้อมนำศรัทธา
ที่จะพาให้เข้าถึงธรรมที่สูงขึ้นไป

อีกด้านหนึ่ง พิธีกรรมเป็นสิ่งน้อมนำจิตให้เกิดความเลื่อมใสและเพิ่มพูนศรัทธา เพราะว่าพิธีกรรมที่ทำถูกต้องจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความพรักพร้อม ความพร้อมเพรียง และความประสานกลมกลืน เช่น คนตั้งร้อยตั้งพันก็สวดมนต์พร้อมกันหมด พระตั้ง ๑๐๐ รูปก็สวดมนต์ประสานเป็นเสียงเดียวกัน กิริยาวาจาก็เรียบร้อยสงบ ทำให้เกิดศรัทธาปสาทะ คนผ่านไปมาได้ยินเสียงพระสวดพร้อมกันอย่างเป็นระเบียบ ไม่ใช่สวดกระแทกกระทั้นเอาตามใจ แต่สวดโดยตั้งใจจริง จากจิตที่สงบผ่องใส คนที่ได้ยินได้ฟังก็เกิดความอิ่มใจ ปลื้มใจ ฟังแล้วเกิดศรัทธาปสาทะ โน้มนำจิตใจให้สงบ แล้วก็เจริญยิ่งขึ้นไปในกุศลธรรม

ในคัมภีร์ท่านเล่าถึงเรื่องพระ ๕๐๐ รูป นั่งฟังพระพุทธเจ้าเงียบไม่มีเสียงเลย เช่นในสามัญญผลสูตร มีเรื่องว่า พระเจ้าอชาตศัตรู ทำปิตุฆาต คือฆ่าพ่อ ต่อมาคงเกิดสำนึกหันมาสนใจจะฟังคำสอนทางศาสนา ก็ปรึกษาข้าราชบริพารว่า วันนี้เราจะไปหาอาจารย์สักท่านหนึ่ง จะไปที่ไหนดี ข้าราชบริพารก็เสนอกันต่างๆ ขณะนั้นได้มีหมอชีวกอยู่ด้วย ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า หมอชีวกเมื่อถูกถามก็เสนอมาทางพระพุทธเจ้า พระเจ้าอชาตศัตรูตกลงก็เสด็จไป

พอถึงเวฬุวันที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ หมอชีวกกราบทูลว่าพระพุทธเจ้ากำลังเทศน์อยู่ แสดงธรรมแก่พระจำนวนตั้ง ๕๐๐ รูป สงบมาก เมื่อเข้าไปใกล้ก็ทำให้แปลกใจว่า ทำไมจึงเงียบอย่างนี้ คนตั้ง ๕๐๐ ไม่มีแม้แต่เสียงกระแอมไอ พระเจ้าอชาตศัตรูก็หวาดขึ้นมาทันที คงเป็นเพราะเกรงกลัวความผิดที่ตนได้กระทำมาแล้วก็ระแวงไป พระพุทธเจ้าก็คุ้นเคยกับพ่อด้วยจะเอาอย่างไรกับเราแน่ ก็เกิดหวาดกลัวขึ้นมาโดยระแวงว่าหมอชีวกวางแผนเพื่อจะจับตัวเรามาฆ่าเสียละกระมัง ก็เลยตรัสกับหมอชีวกทำนองนี้ หมอชีวกก็ปลอบโยนให้เบาพระทัยว่า ลักษณะชีวิตและวินัยของพระเป็นอย่างไร ท่านอยู่กันอย่างไร ก็เลยเบาพระทัยแล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วพระเจ้าอชาตศัตรูก็ทรงเกิดความซาบซึ้งพระทัยอย่างหนึ่งว่า พระตั้ง ๕๐๐ องค์นั่งฟังพระพุทธเจ้า สงบ เงียบเหลือเกิน ไม่มีเสียงอะไร พระเจ้าอชาตศัตรูก็ทรงเกิดทั้งความเกรงขามและความประทับใจ

นี่เป็นตัวอย่าง ที่แสดงว่าความงามสง่าน่าเกรงขาม ความน่าประทับใจ และความน่าเลื่อมใสศรัทธาสามารถเกิดได้จากพิธีกรรมที่เป็นไปตามความหมายแท้ๆ คือมีความเรียบร้อย มีความเป็นระเบียบ ทำให้เกิดความงดงามในตัว

สำหรับคนส่วนมากที่อยู่ในโลกข้างนอกซึ่งยังไม่คุ้นเคย ยังไม่เข้าถึงความลึกซึ้งของธรรม จู่ๆ จะให้ถึงนามธรรมเลย ก็มักไม่ไหว หรือไม่สนใจเลย จึงต้องพบกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมก่อน เพราะฉะนั้น พิธีกรรมจึงเป็นรูปแบบที่จะสื่อเข้าหาคนที่ยังไม่เข้าถึงพระศาสนาได้ลึกซึ้ง เรียกได้ว่าเป็นจุดนัดพบอีกแบบหนึ่ง โดยเป็นสื่อที่ชักนำหรือเป็นจุดเชื่อมต่อเขาให้เริ่มต้น อาจจะทำให้สนใจเกิดความประทับใจ แล้วน้อมนำจิตให้อยากรู้อยากจะเข้ามาเกี่ยวข้อง จนกระทั่งเข้ามาในพระศาสนาได้ เพราะฉะนั้น เราจึงอาจจะใช้พิธีกรรมในแง่ที่เป็นเครื่องชักจูงในเบื้องต้น

สำหรับคนที่เดินหน้าไปบ้างแล้วก็ดีไป ถือว่าเขาพอจะช่วยตัวเขาเองได้ การศึกษาธรรมในเบื้องสูงก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของตัวเขาเอง ที่เขาสนใจจริงๆ แต่ในแง่ของคนทั่วไปส่วนมากต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้มาเป็นสื่อนำเบื้องต้นก่อน พิธีกรรมเมื่อใช้ถูกต้องก็เป็นประโยชน์มากในแง่นี้ อย่างที่ว่าเป็นจุดนัดพบกับคนทั่วไปที่ยังอยู่ในระดับเพิ่งจะแว่วเสียงธรรม ยังไม่เข้าสู่ธรรมในเบื้องสูง

พิธีกรรม เป็นโอกาสสำหรับพระ
ที่จะปรากฏตัวและให้ธรรม

ทีนี้ สำหรับพระเองก็อาศัยพิธีกรรมนี้เป็นที่ปรากฏตัว ถ้าไม่มีพิธีกรรมพระก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสปรากฏตัว เพราะฉะนั้น ก็อยู่ที่พระเองจะใช้พิธีกรรมอย่างไรให้เป็นประโยชน์เพื่อเป็นสื่อนำคนเข้าสู่พระศาสนา เข้าสู่ธรรม ถ้าพระไม่รู้จักใช้ประโยชน์ พิธีกรรมก็อาจจะเสื่อมเสีย กลายเป็นเหตุให้เกิดผลร้ายไป แต่โดยหลักการพิธีกรรมคือโอกาสที่พระจะปรากฏตัวแก่ประชาชนแล้วก็จะได้ทำหน้าที่ของท่าน

พระมีหน้าที่อะไร ว่าตามหลัก หน้าที่ของพระก็คือ การให้ธรรมแก่ประชาชน เรียกว่า ธรรมทาน แต่การให้ธรรมนั้นให้อย่างไร ถ้าพูดให้เขาฟัง เช่น เทศน์ แสดงธรรม บรรยายธรรม อันนี้เแน่นอน ชัด แต่การให้ธรรมนี้ให้โดยไม่ต้องพูดก็มี และพระจำนวนมากก็ยังพูดไม่เป็น ยังสอนธรรมด้วยการเทศน์ไม่เป็น บางทีก็เพราะเรียนรู้ยังไม่มากพอ หรือบางองค์แม้จะเรียนรู้มากแล้ว แต่ก็พูดไม่เป็น เทศน์ไม่เป็น

ที่จริง พระสามารถให้ธรรมได้โดยไม่ต้องพูด พระอัสสชิท่านเดินไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ แต่อาการปรากฏตัวของท่านเป็นการให้ธรรมแก่อุปติสสมาณพ คือพระสารีบุตรโดยไม่ต้องพูดเลย อุปติสสมาณพนั้นเมื่อเห็นพระอัสสชิผู้มีอาการสงบงามสง่าและมีลักษณะของผู้ได้ฝึกฝนพัฒนาตนอย่างดีแล้ว ก็เกิดความประทับใจเลื่อมใสว่าท่านผู้นี้ต้องมีดี ก็เลยตามไปแล้วก็ได้พบได้พูด โดยเดินตามไปตั้งแต่ท่านบิณฑบาตจนกระทั่งท่านหยุดเตรียมฉัน จึงเข้าไปนมัสการแล้วก็พูดจาสนทนาซึ่งนำไปสู่การได้เข้าถึงธรรมต่อไป

เป็นอันว่าพิธีกรรมนี้เป็นจุดปรากฏตัวของพระสงฆ์ พระสงฆ์มีทั้งผู้สอนเป็นและสอนไม่เป็น แต่การให้ธรรมนี้ไม่จำเป็นต้องพูด การให้ธรรมโดยไม่ต้องพูด ก็เริ่มตั้งแต่การปรากฏตัวของพระไปทีเดียว ซึ่งสามารถให้ธรรมแก่ประชาชนโดยทันที ท่านจึงเน้นเรื่องวินัยว่าให้พระมีวินัย และวินัยนั้นก็ออกมาปรากฏในความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิตประจำวันและการทำกิจหน้าที่ต่างๆ พิธีกรรมต่างๆ ก็เป็นส่วนเบื้องต้นของวินัย ซึ่งให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อพระไปปรากฏตัวที่ไหน ก็สอนธรรมได้ที่นั่นแม้โดยไม่ต้องพูด

คำว่าสอนธรรมอาจจะแคบไป การให้ธรรมนี้อาจจะให้โดยตรงเข้าไปถึงจิตถึงใจเลย จะให้อย่างไร ขอทำความเข้าใจกันหน่อย ธรรมเบื้องแรกที่พระจะให้แก่ประชาชนก็คือให้ปสาทะ ความผ่องใสของจิตใจ

ประชาชนชาวบ้านนั้นวุ่นวายเดือดร้อนกับกิจการงานมากมาย ตลอดจนเรื่องในครอบครัวและอารมณ์กระทบกระทั่งในชีวิตประจำวันสารพัด จิตใจไม่ค่อยสงบ แต่พอเห็นพระจิตใจก็สบายผ่องใสสดชื่น แต่ทั้งนี้หมายถึงว่าพระนี้จะต้องปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วย แต่โดยทั่วไปที่เป็นมาพระท่านได้ปฏิบัติดีงามกันมาจนทำให้เกิดเป็น บุญภาพ ขึ้นในสังคมแล้ว พอชาวบ้านเห็นพระก็จะเกิดความรู้สึกสบายใจ จิตใจผ่องใส เรียกว่าปสาทะขึ้นมาทันที ปสาทะนี่เป็นกุศลธรรม จิตใจดีงามเป็นกุศลขึ้นมาแล้วก็คือธรรมเกิดขึ้นในใจของเขาแล้ว แค่นี้ก็ให้ธรรมแล้ว โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย

เพราะฉะนั้น การปรากฏตัวของพระนี่ ถ้าปรากฏให้ถูกต้องก็เป็นการให้ธรรมแก่ประชาชน คือทำให้เขาได้ธรรมทันทีเลย เมื่อเกิดกุศลธรรมขึ้นในใจแล้วจิตใจเบิกบานผ่องใส ก็อาจจะส่งผลดีไปในวันนั้นทั้งวันก็ได้ ทำให้ทำอะไรๆ ด้วยจิตใจชื่นบานผ่องแผ้ว อันนี้เป็นคุณค่าที่สำคัญมาก เพราะฉะนั้น เราจะต้องไม่ลืมหลักข้อนี้ คือการให้ธรรมโดยไม่ต้องพูด ซึ่งพระส่วนใหญ่ให้ได้ทั้งนั้น เพราะชาวบ้านนับถือพระอยู่แล้ว เพียงแต่ตั้งใจสักหน่อย ไม่ต้องรอให้เทศน์เป็น เพราะถ้าจะให้พูดเก่งนี้บางทีก็ยาก

ธรรมข้อต้น ที่พระจะให้แก่ประชาชน
คือปสาทะและความปลอดเวรภัย

การให้ธรรมอย่างที่ว่านี้เป็นกิจเบื้องแรกของพระสงฆ์เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น พระดีที่ท่านพรรณนาไว้ในพระไตรปิฎก จึงมีลักษณะอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “มโนภาวนีย์” แปลว่าผู้เป็นที่เจริญใจ ชาวบ้านญาติโยมอุบาสกอุบาสิกานี้ไปวัดบางทีเพียงแค่เพื่อให้ได้พบพระแล้วก็สบายใจ จิตใจก็เจริญงอกงามพัฒนาขึ้นมาเลย ดังที่ท่านกล่าวถึงอุบาสกบางท่านปรารภตอนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานว่า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วเขาก็จะเสียโอกาสที่จะได้พบพระสงฆ์ผู้เป็นที่เจริญใจ ที่เรียกว่า มโนภาวนียา ไม่เหมือนตอนที่มีพระพุทธเจ้าอยู่ซึ่งมีพระสงฆ์ผู้ใหญ่ที่น่าเลื่อมใสเคารพมาอยู่กันพร้อม เขาไปได้เห็นพระเหล่านั้นก็ทำให้ชื่นใจสบายใจ มีจิตใจผ่องใสเบิกบานเป็นกุศลไปตลอดทั้งวัน เป็นทัศนานุตริยะ เป็นยอดทัศนา เข้ากับหลักที่ว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ แปลว่า การเห็นสมณะเป็นอุดมมงคล

พระพุทธเจ้าเป็นศูนย์กลาง พระดีๆ ทั้งนั้นอยู่กับพระพุทธเจ้า ชาวบ้านไปพบพระเหล่านั้นแล้วจิตใจก็สบายเบิกบานผ่องใส เขาก็เลยบอกว่าเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เขาก็จะไม่มีโอกาสได้มาพบพระสงฆ์มโนภาวนีย์ผู้เป็นที่เจริญใจ เพราะท่านก็จะแยกย้ายกระจายกันไปในทิศต่างๆ

ที่ว่ามานี้ก็เป็นหลักการอย่างหนึ่งที่สำคัญ และเป็นลักษณะที่สำคัญของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา คือความเป็นพระไม่ได้อยู่ที่ความศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ไม่ได้อยู่ที่การทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ ไม่ใช่อยู่ที่การอยู่ป่าอยู่เขาเป็นฤษีชีไพร แต่ความเป็นพระอยู่ที่ความเป็นผู้สงบ ไม่มีเวรภัย ในโอวาทปาฏิโมกข์ก็ได้บอกไว้แล้วว่า ผู้ที่ทำร้ายคนอื่นไม่เป็นบรรพชิต ผู้ที่เบียดเบียนคนอื่นไม่เป็นสมณะ ลักษณะของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาคือความเป็นผู้สงบ ปราศจากภัยอันตราย ไม่มีเวรภัยแก่ผู้ใด

พระสงฆ์คือผู้ไม่มีภัย นี่เป็นลักษณะที่สำคัญมาก เพราะฉะนั้น ใครไปที่ไหนพอเห็นพระเข้าก็รู้สึกว่าที่นี้ปลอดภัยสบายใจ มันเป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ว่าความเป็นพระสงฆ์มีอาการปรากฏคือความไม่มีภัย คนเข้าป่าไปเจอพระก็นั่งลงยกมือท่วมศีรษะเลย โล่งอก โล่งใจ ชื่นบานสบายไปเลย แสดงว่าที่นั่นไม่มีอันตราย เข้าไปได้เลย เพราะฉะนั้น จึงถือกันมาแต่โบราณว่า เจอพระที่ไหนปลอดภัยที่นั่น

การที่จะได้พบพระสงฆ์หรือพระสงฆ์จะมาปรากฏตัวแก่ชาวบ้าน แก่ชุมชนหรือแก่สังคมนั้น โดยมากก็มาปรากฏในพิธีกรรม พระจึงต้องประพฤติตัวอยู่ในความสงบ ตั้งใจทำพิธีกรรมให้ถูกต้องตามหลัก และมุ่งให้เกิดผลตามความมุ่งหมาย ในด้านของตนเองก็มุ่งไปที่การฝึกวินัยให้เป็นพื้นฐานของศีล และในด้านการตั้งความรู้สึกต่อชาวบ้าน ก็มุ่งสร้างกุศลให้เกิดขึ้นในใจของผู้มาร่วมในพิธี โดยยึดหลักว่าเมื่อประชาชนพบพระฟังพระแล้วจะได้เป็นโอกาสให้เขาเจริญจิตเจริญใจ ได้เจริญกุศลธรรมขึ้นในจิตใจ ให้มีความผ่องใสเบิกบาน

ถ้าเฉไถลออกไป ก็รีบหันกลับมาตั้งต้นใหม่

น่าเสียดายว่า ปัจจุบันนี้ ความหมายเหล่านี้ของพิธีกรรมได้เลอะเลือนไป เวลาทำพิธีกรรมก็ลืมไป ไม่ได้มองที่ความหมายเหล่านี้ แต่พากันไปมุ่งที่ความใหญ่โตหรูหรา ความโอ่อ่าอวดกัน ประกวดประขันในการใช้จ่ายมาก ว่าใครจะใช้เงินมากกว่ากัน พิธีกรรมของเรานี้ การบวชนาคของฉันครั้งนี้ใช้เงินตั้งเท่านั้นแสน พิธีกรรมแทนที่จะได้ผลก็กลายเป็นเสียผล ที่เสียก็เพราะว่า ความหมายที่แท้จริงมันหายสูญไป

เพราะฉะนั้น จึงต้องพิจารณาว่า ในเมื่อพิธีกรรมเป็นจุดนัดพบนัดหมายและเป็นโอกาสให้พระสงฆ์ปรากฏตัวแก่ประชาชนแล้ว พระสงฆ์จะใช้โอกาสนี้อย่างไร นี้เป็นตอนสำคัญ เป็นจุดนำที่จะชักจูงเขาให้เข้าสู่ธรรมต่อไป โดยมองว่าเป็นโอกาสที่จะได้แสดงธรรม

ปัจจุบันนี้คนจำนวนมากอยู่ในสังคมมีกิจการงานวุ่นวายหาเงินหาทองกันไป จะไปวัดทีหนึ่งก็คือไปงานศพ นานๆ จะได้พบกันสักที พระก็ใช้โอกาสนี้เลย โดยพูดธรรมแสดงธรรมในตอนนั้น หรือไปในงานที่เขานิมนต์ เช่น ไปงานแต่งงาน บางทีคนที่มาในพิธีนั้นไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพระเลย แต่เพราะเป็นประเพณีต้องมีพิธีกรรมนี้ก็เลยต้องนิมนต์พระไป ตอนนี้พระก็มีโอกาสแล้ว พอไปในงานพิธีก็ใช้พิธีกรรมนั้นเป็นโอกาสที่จะสอนธรรมไปเลย พอพิธีจวนเสร็จก็ให้โอวาทบ่าวสาว ถ้าพูดสอนไม่ได้ ก็พยายามให้ธรรมโดยไม่พูดให้ดีที่สุด

เป็นอันว่า พิธีกรรมนี้ ถ้ามองในแง่เป็นที่มั่นสุดท้าย ก็เป็นปราการสุดท้ายที่เราควรจะใช้ประโยชน์ เพื่อตรึงไว้ไม่ให้เสื่อมลงไปกว่านี้ เมื่อพระพุทธศาสนายังมีรูปแบบอยู่ก็แสดงว่ายังไม่หมดเสียทีเดียว เราก็เดินหน้ากลับโดยใช้ป้อมค่ายแห่งพิธีกรรมนี้เป็นจุดตรึงและเสริมกำลัง เพื่อเขยิบตัวเดินหน้าต่อไป

พิธีกรรม เป็นรูปแบบที่จะสื่อธรรมสำหรับคนหมู่ใหญ่

เรื่องพิธีกรรมนี้ก็รู้กันอยู่ว่า เป็นเรื่องรูปแบบ ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจะให้มีสาระอยู่ในรูปแบบนั้นด้วย รูปแบบก็สำคัญ แต่รูปแบบจะมีความหมายก็ต่อเมื่อมีเนื้อหาสาระ ถ้ารูปแบบไม่มีเนื้อหาสาระก็ไม่มีประโยชน์ แต่ในทางกลับกันถ้าเนื้อหาไม่มีรูปแบบช่วย เนื้อหานั้นก็จะเป็นประโยชน์ได้ยาก แม้เป็นสิ่งที่ต้องการแต่คนก็ไม่สามารถจะเอามาใช้ประโยชน์อะไรได้

เหมือนอย่างน้ำเป็นตัวสาระที่เราต้องการ แต่น้ำอยู่ในสระ จะกินทีไรต้องเดินไปที่สระแล้วก็เอามือวัก จะดื่มก็ยาก แล้วก็ต้องลำบากเดินทุกที แต่ถ้าเรามีแก้วน้ำหรือมีภาชนะ เราก็สามารถตักเอาน้ำนั้นมาใช้เท่าที่เราต้องการ และสามารถนำมาเก็บไว้ในที่ที่สะดวกที่จะใช้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าคนลืมไปว่าประโยชน์ของแก้วคือการบรรจุน้ำและใช้น้ำให้เป็นประโยชน์ เลยไปสาละวนอยู่กับการแต่งแก้วให้สวยให้งามประดิดประดอย เสร็จแล้วก็ไม่ได้ใช้แก้วนั้นใส่น้ำ แต่เอาไปตั้งไว้โชว์เฉยๆ แก้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ถ้าเรารู้จักใช้ แก้วน้ำก็เป็นประโยชน์มาก เพราะมันทำให้น้ำเกิดผลเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงเต็มที่

ในทำนองเดียวกัน พิธีกรรมก็เป็นเพียงรูปแบบ ซึ่งจะมีค่ามีความหมายก็ต่อเมื่อมีเนื้อหาสาระอยู่ด้วย เราจึงต้องเอาเนื้อหาสาระมาใส่ แต่สำหรับคนทั่วไป ถ้าไม่มีรูปแบบช่วยเขาจะเข้าถึงเนื้อหาสาระได้ยาก รูปแบบจึงเป็นจุดที่จะเริ่มต้นชักนำให้เขาได้เข้าถึงเนื้อหาสาระต่อไป รูปแบบทั้งหลายมีความสำคัญฉันใด พิธีกรรมก็ฉันนั้น มีความสำคัญโดยจะต้องมีเนื้อหาสาระอยู่ด้วย

ถ้าเหลือแต่รูปแบบ เนื้อหาไม่มีแล้ว ไม่ช้าก็จะเขวออกไป แล้วก็จะใช้ไม่ตรงตามความมุ่งหมาย เช่น กลายเป็นเรื่องของความโก้ หรูหรา ประกวดประขันกันว่าใครจะใหญ่จะโตกว่ากัน กลายเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเสียเปล่า เช่น บวชพระไม่เอาเนื้อหาสาระ ไม่รู้ว่าบวชเพื่ออะไร เอาแต่รูปแบบ ได้แต่จัดงานใหญ่โต มีการเชิญแขกมากมายตั้งโต๊ะเลี้ยงกันสิ้นเปลืองเงินทองเป็นหมื่นเป็นแสน แต่บวชได้ ๗ วันก็สึกแล้ว และระหว่างที่บวชก็ไม่ได้ฝึกฝนอบรมศึกษาเล่าเรียนอะไร

ตอนนี้เรามองประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ เรามองคนทั้งสังคม ไม่ใช่มองที่ตัวบุคคลนั้นบุคคลนี้ คนส่วนใหญ่นี่เราต้องยอมรับความจริงว่าเขาจะเข้าถึงเนื้อหาสาระทันทีไม่ได้ จะต้องมีรูปธรรมที่จะสื่อกับเขาก่อน พิธีกรรมเป็นรูปธรรมที่มาสื่อ ถ้าเราใช้เป็นก็จะนำให้เขาเข้าสู่ตัวเนื้อหาต่อไป

เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ก็ควรมีการสำรวจตรวจตราว่า พิธีกรรมยังบรรจุเนื้อหาสาระที่ต้องการอยู่หรือไม่ และรูปแบบของมันยังสื่อสาระนั้นกับมหาชนในยุคสมัยที่เป็นปัจจุบันได้ดีหรือไม่

นอกจากคอยรักษาคอยใส่ความหมายและเนื้อหาสาระเข้าไปในรูปแบบ พร้อมทั้งปรับปรุงรูปแบบของพิธีกรรมให้สื่อสาระที่ต้องการแก่ประชาชนในยุคสมัยนั้นๆ แล้ว รูปแบบที่รุงรังซึ่งถ่วงขัดกีดขวางการสื่อสาระ ก็ควรได้รับการขัดเกลาหรือชำระสะสาง

อย่างไรก็ตาม พิธีกรรมยังเป็นรูปแบบย่อย ซึ่งเป็นองค์ประกอบอยู่ในรูปแบบใหญ่ คือวัฒนธรรมประเพณี ที่เรียกกันว่าเป็นเอกลักษณ์ของสังคมนั้น การชำระสะสางพิธีกรรมจึงต้องปฏิบัติด้วยความมีสติ โดยคำนึงถึงวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของสังคมด้วย แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ให้เสียหลักที่ว่า พิธีกรรมไม่พึงเป็นรูปแบบที่นิ่งตาย ไร้เนื้อหา สื่อสาระไม่ได้ แล้วกลายเป็นเปลือก ซึ่งไม่ทำหน้าที่ในการช่วยปกป้องรักษาเนื้อหา แต่กลับไพล่ไปเป็นเครื่องปิดกั้นประโยชน์ และบดบังคุณค่าของตนเอง

 

1เรื่องนี้ เป็นคำบรรยายแก่คุณปรีชา ก้อนทอง แห่งวารสารร่มโพธิ์แก้ว ในโอกาสที่ไปสัมภาษณ์ ณ สถานพำนักสงฆ์สายใจธรรม เขาดงยาง ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๓๗
The content of this site, apart from dhamma books and audio files, has not been approved by Somdet Phra Buddhaghosacariya.  Such content purpose is only to provide conveniece in searching for relevant dhamma.  Please make sure that you revisit and cross check with original documents or audio files before using it as a source of reference.