ธรรมะกับการทำงาน

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

งานจะเสียฐาน ถ้าคนเสียต้นทุนแห่งความสุข ๓ ประการ
ธรรมเป็นแกนประสานให้ทุกอย่างลงตัวบังเกิดผลดีทุกประการ

ข้อที่ร้ายมากขณะนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับงาน ก็คือ มนุษย์กำลังแปลกแยกจากกิจกรรมแห่งชีวิตของตนเอง

เมื่อเราทำงานโดยไม่ได้ต้องการผลของงานนั้น ก็คือเราแปลกแยกจากการกระทำของตนเอง เมื่อแปลกแยกแล้วการทำงานก็เป็นทุกข์ตลอดเวลา จะสุขก็ต่อเมื่อได้วัตถุเสพหรือได้เงินมา ก็รอไปสิ ความสุขมีอยู่ตอนได้เงินเท่านั้น เวลานอกนั้นเป็นความทุกข์ตลอดทั้งหมด นี่คือปัญหาของมนุษย์ยุคปัจจุบัน

ต้องเอาทุนพื้นฐานของความสุขไว้ รักษาไว้ให้ได้ แล้วเอาความสุขจากสิ่งเสพบริโภค รวมทั้งเทคโนโลยีมาเสริมมาเติม ให้ส่วนเสริมเป็นส่วนเสริม อย่าให้มันกลายมาเป็นส่วนฐานเป็นอันขาด ต้องรักษาฐานที่แท้ไว้ เอาไว้เป็นแกน

เมื่อเราทำได้เราก็ไม่แปลกแยกจากธรรมชาติ มนุษย์ยุคนี้ก็จะกลายเป็นผู้ประเสริฐจริง คือ เป็นผู้ที่นอกจากมีทุนพื้นฐานเดิมของความสุขตามธรรมชาติแล้ว ยังมีความสามารถในการประดิษฐ์ คิดค้น ปรุงแต่ง สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นมาเสริมเติมความสุขให้กับตัวเองได้มากขึ้นด้วย เป็นผู้ที่ได้ทั้งสุขในการทำงาน และสุขจากผลที่ได้ตามสมมติของมนุษย์คือได้เงินและได้สิ่งเสพด้วย ได้ทั้งสองอย่าง

ถ้าผู้ใดยังไม่ได้สุขจากการทำงาน ต้องรีบแก้ไข เพราะ

๑. เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตจะไม่มีความสุข เพราะไม่ได้ความสุขจากงานที่ครองเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตของเรา

๒. แสดงว่าเราแปลกแยกแล้ว จากกิจกรรมแห่งชีวิตของตนเอง ซึ่งเป็นการเสียฐานของชีวิตแล้ว กำลังจะขาดลอยไป

เมื่อเรารักษาพื้นฐานอันนี้ไว้ได้ ด้วยการที่เราไม่แปลกแยกจากธรรมชาติ คือเราต้องการผลโดยตรงของกิจกรรมของเราในการทำงาน เช่น เป็นแพทย์ก็ต้องการผลโดยตรงของการทำงานแพทย์ คือการทำให้คนไข้หายป่วย ทำให้คนไข้มีสุขภาพดี เราก็จะทำงานด้วยความตั้งใจ และมีความรักงาน

พอรักงานก็จะมีความสุขจากการทำงาน ตัวเราเองก็ได้ ใจของเราก็เป็นสุข และประโยชน์แก่สังคมก็เกิด เพราะงานนั้นเราทำด้วยความตั้งใจจริง ประโยชน์เกิดสอดคล้องกัน ทั้งประโยชน์แก่ชีวิตของตนเองและประโยชน์แก่ส่วนรวม

พอเริ่มต้นบนฐานที่ถูกต้องแล้ว ก็ยิ่งเสริมสุขเข้ามาอีก แล้วสุขที่ดีนั้นก็จะเสริมผลสำเร็จของการทำงานด้วย ต่างจากความสุขที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งพอเพิ่มสุขเข้ามา งานก็เลยเสีย

ถ้าเป็นสุขที่ถูกต้อง ยิ่งเพิ่มความสุข งานก็ยิ่งได้ด้วย ความสุขมาก็ช่วยให้งานยิ่งเดินดี นี่แหละคือธรรมะ ธรรมะจะช่วยให้ทั้งความสุขก็เพิ่ม และงานก็ยิ่งได้ผล ประโยชน์ทั้งต่อชีวิตของตนเองก็ได้ ของสังคมส่วนรวมก็เกิด สอดคล้องกันไปหมด ธรรมะทำให้ความประสานกลมกลืนกันนี้เกิดขึ้น

แต่ถ้าธรรมะไม่มา เวลาทำงานก็เป็นทุกข์ จะให้งานส่วนรวมได้ ตัวเองก็กดขี่หัวใจ ถ้าจะให้ตัวเองสุขสบาย ก็ต้องเบี่ยงบ่ายหลบงาน ได้สุขแก่ตัวฉัน แต่งานส่วนรวมเสีย และในระยะยาวชีวิตของตนเองก็เสียด้วย

สภาพชีวิตและระบบการทำงานของยุคปัจจุบัน เอื้อมากต่อการที่คนจะแปลกแยกจากการงานที่เป็นกิจกรรมแห่งชีวิตของตนเอง โดยมีชีวิตที่เลื่อนลอยอยู่กับสมมติ เมื่อคนไม่ได้ความสุขจากตัวงาน บางทีก็เลยมีการจัดกิจกรรมรื่นเริงสนุกสนานขึ้นมาช่วยให้คนสดชื่นร่าเริงเป็นครั้งคราว เพื่อให้มีเรี่ยวแรงกำลังที่จะทำงาน แต่ถ้าตราบใดยังไม่ได้แก้ปัญหาให้ถึงตัวเหตุแท้ที่เป็นฐาน ก็ไม่ได้ผลจริง

ความสุขสนุกสนานจากกิจกรรมที่จัดขึ้นก็เป็นเพียงของเคลือบทาฉาบฉวยผิวเผินอยู่แค่เปลือกนอก ไม่ได้ผลจริงจังยั่งยืน เพราะยังไม่ใช่ความสุขในตัวงาน และคนก็ยังไม่มีความสุขจากการทำงานอยู่นั่นเอง ต่อเมื่อใด การทำงานเป็นความสุข คนมีความสุขจากการทำงาน นั่นจึงจะเป็นของแท้แน่นอน และปลอดภัย เพราะประโยชน์ของคนกับประโยชน์ของงานประสานกลมกลืนเข้าด้วยกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว

พึงสังเกตด้วยว่า กิจกรรมสนุกสนานที่เน้นการสังสรรค์ในหมู่คนด้วยกันนี้ ไม่ว่าจะจัดขึ้นเพื่อชดเชยการขาดความสุขในการทำงานที่รู้สึกแห้งแล้งก็ตาม หรือที่มีกันมากมีกันบ่อยเกินสมควรในบางสังคม ที่คนไม่พัฒนาในด้านความสุขจากกิจกรรมแห่งชีวิตในการทำงาน (ซึ่งก็เป็นการชดเชยอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน) ก็ตาม มักจะมีลักษณะที่มากหรือหนักหรือหยาบจนกลายเป็นการมัวเมาเอาแต่ครื้นเครง หรือหมกมุ่นมั่วสุม ซึ่งไม่ควรนับว่าเป็นการมีความสุขในการอยู่กับเพื่อนมนุษย์อย่างถูกต้อง (บางทีไม่มีความสุขในบ้านในครอบครัว แต่ไปมั่วสุมกับเพื่อนข้างนอก)

ถ้าจะให้ดี ความสุขในการอยู่กับธรรมชาติแวดล้อม ในการอยู่กับเพื่อนมนุษย์ และในการอยู่กับกิจกรรมแห่งชีวิตของตนเองนั้น ทุกคนควรจะมีครบทั้งสาม และควรจะเป็นไปอย่างสมดุลพอดี ไม่ต้องให้กลายเป็นการชดเชย

เป็นอันว่า เมื่อรักษาทุนพื้นฐานไว้ได้ งานก็ไม่เสีย แต่กลับดีด้วย และสุขด้วยใจรักงาน ที่ต้องการผลโดยตรงตามเหตุของธรรมชาติ ตามกฎธรรมชาติ ไม่แปลกแยกจากงานก็ได้อีก พอฐานดีแล้ว สุขจากช่องทางพิเศษก็เป็นส่วนเสริมเติมเข้าไป

นี่แหละคือการปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรมชาติของมนุษย์ที่เรียกว่าธรรม ธรรมะก็คือเรื่องของธรรมชาตินี้เอง

ธรรมชาติของมนุษย์มีอยู่ตามธรรมดาของมัน เท่ากับเป็นฐานเดิมของมนุษย์ ถ้าคนทำอะไรอยู่บนฐานถูกต้องแล้ว เขาวางตัววางใจถูกต้องกับธรรมชาติ เขาดำเนินชีวิตถูกต้องแล้ว เขาก็ได้ทันที ได้ทั้งความสุขและการดำเนินชีวิตอย่างได้ผลสัมฤทธิ์อย่างดี

เมื่อเข้าถึงธรรมอย่างที่ว่านั้นแล้ว การทำงานก็กลายเป็นเนื้อหาส่วนสำคัญของการดำเนินชีวิตอย่างได้ผล และการดำเนินชีวิตอย่างได้ผล ก็หมายถึงการได้ความสุขด้วย ทั้งสองอย่างนั้นก็ไปด้วยกัน

เมื่อคนเข้าถึงความจริงแท้และทำถูกต้องก็กลายเป็นธรรมะไปเอง เมื่อคนถึงธรรม ก็ทำให้กฎธรรมชาติกับกฎสมมติของมนุษย์ประสานกลมกลืน กลายเป็นเกื้อหนุนกัน งานก็ประสานเป็นอันเดียวกับความสุข และความสุขของบุคคลก็ประสานกับประโยชน์ของสังคม ทุกอย่างลงตัวพอดีไปหมด

เนื้อหาในเว็บไซต์นอกเหนือจากไฟล์หนังสือและไฟล์เสียงธรรมบรรยาย เป็นข้อมูลที่รวบรวมขึ้นใหม่เพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ โดยมิได้ผ่านการตรวจทานจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ผู้ใช้พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือหรือเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง