จะสุขแท้ต้องเป็นไท : ต้องสุขเองได้ จึงจะช่วยโลกให้เป็นสุข

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

จะสุขแท้ ต้องเป็นไท

ประการที่สอง มนุษย์มีความเข้าใจแบบพร่าๆ หลอกตัวเองไว้ว่า สิ่งที่เราไปยึดถือครอบครองนี้ ยิ่งยึดถือครอบครองไว้ได้มาก ก็จะทำให้เรามีความสุขได้มาก เพราะฉะนั้น คนจึงแสวงหากันใหญ่ แสวงหาลาภ ผลประโยชน์ ทรัพย์สิน เงินทอง เอาวัตถุอามิสต่างๆ มาบำรุงบำเรอความสุขของตนเอง ด้วยการบำเรอตา บำเรอหู บำเรอจมูก บำเรอลิ้น บำเรอสัมผัสกายของตน ถือว่าใครมีมากคนนั้นก็มีความสุขมาก นึกว่าอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าก็ทรงยอมรับว่านี่เป็นความสุขชนิดหนึ่ง ท่านไม่ได้ปฏิเสธ แต่ปัญหาว่าเรารู้จักความสุขนั้นตามความเป็นจริง หรือว่ารู้ความจริงของความสุขนั้นหรือเปล่าว่า มันแค่ไหน มีแง่ดีแง่เสียอย่างไร มีต่อไปอย่างอื่นอีกไหม เป็นต้น ถ้าเรารู้ความจริงและปฏิบัติต่อมันให้ถูกต้อง ความสุขนั้นก็ใช้ได้ และยังเป็นตัวต่อไปสู่ความสุขที่ยิ่งขึ้นไป แต่ถ้าไม่รู้เท่าทันความจริงแล้ว ความสุขชนิดนี้จะก่อความทุกข์ให้อย่างมหันต์ที่เดียว

ในหลักพระพุทธศาสนา ท่านถือว่าความสุขแบบใช้อามิสวัตถุมาเสพบำเรอตา หู จมูก ลิ้น และสัมผัสกายนั้น ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง เรียกว่าความสุขจากการเสพอามิส หรือความสุขที่อาศัยวัตถุ ขึ้นต่อสิ่งภายนอก เรียกเป็นภาษาพระว่า สามิสสุข แปลว่า ความสุขที่อาศัยอามิส เพราะเหตุที่ความสุขนั้นอยู่ที่สิ่งภายนอก เราจึงเห็นว่าถ้าเรามีวัตถุมากๆ เราก็จะมีความสุขมาก แต่มองอีกทีหนึ่ง พอหาวัตถุอามิสมากขึ้นๆ เราไม่รู้ตัวว่า ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าความสุขของเราและชีวิตของเราเองนี่ไปขึ้นต่อสิ่งเหล่านั้นหมด

เมื่อเอาความสุขของตัวเองไปฝากไว้กับสิ่งเหล่านั้น คนจำนวนมากก็ไม่สามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเอง พอไปหาสิ่งเหล่านั้นมามากขึ้นๆ คิดว่าตัวเองมีความสุขที่แท้กลายเป็นเอาความสุขของตัวเองไปไว้ที่สิ่งเหล่านั้น จนกระทั่งในที่สุดไม่สามารถมีความสุขได้โดยลำพังตนเอง ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้วก็มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน กระวนกระวาย เพราะฉะนั้นคนที่ดำเนินชีวิตโดยวิธีนี้ จึงดำเนินชีวิตไปสู่ความสูญเสียอิสรภาพ

มองอย่างผิวเผินเขาเข้าใจว่าตนเองมีอิสรภาพ โอ้โฮ นี่ฉันเป็นใหญ่ ฉันสามารถแสวงหาสิ่งทั้งหลายมาได้ตามใจชอบมากมาย ฉันมีความสุขมาก แต่เสร็จแล้วกลายเป็นว่าตัวเองนั้นไม่มีความสุขที่เป็นของตนเองเลย ความสุขอยู่ข้างนอก ความสุขขึ้นกับสิ่งเสพเหล่านั้นหมดเลย ยามใดไม่มีสิ่งเหล่านั้น หรืออวัยวะ ชีวิตของตน ตา หู จมูก ลิ้น และร่างกายของตนเสพอะไรไม่ได้ เช่น ยามป่วยไข้ หรือแก่ชรา ไม่สามารถหาความสุขจากสิ่งเหล่านั้นได้ ก็จะเกิดความทุกข์ มีความเดือดร้อนกระวนกระวายอย่างหนัก พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้รู้เท่าทันความจริงว่า ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งภายนอกซึ่งเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ไม่ใช่ของเราจริงตามที่กล่าวแล้วข้างต้น นอกจากนั้นมันก็ไม่ใช่ตัวแท้ตัวจริงที่จะให้ความสุข มันเป็นเพียงตัวประกอบของความสุขเท่านั้น ความสุขนั้นเราจะต้องสร้างสรรค์ให้มีในตัวเราให้มากขึ้น

คนที่ฉลาดจะอาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นฐานในการที่จะพัฒนาตนเพื่อให้มีความสุขอยู่ในตัวเองมากขึ้นๆ เขาจะดำเนินชีวิตออกจากการพึ่งพาหรือจากความไม่มีอิสรภาพไปสู่ความมีอิสรภาพ อิสรภาพของมนุษย์นั้น คือ การที่มนุษย์สามารถอยู่ดีมีความสุขมากขึ้นโดยขึ้นต่อสิ่งภายนอกน้อยลงไม่ใช่อยู่ไปๆ ต้องขึ้นกับสิ่งภายนอกมากขึ้น

วิถีของมนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้ดูจะเป็นไปในทางตรงข้าม คือเข้าใจว่า ถ้ามีสิ่งเสพเหล่านั้นมากขึ้นตัวเองจะมีความสุข พร้อมกับการที่เข้าใจอย่างนี้ก็พัฒนาไปสู่การสูญเสียอิสรภาพ ในที่สุดตัวเองก็เลยไม่มีอิสรภาพเหลืออยู่ กลายเป็นทาสของสิ่งแวดล้อม มีความสุขที่ขึ้นต่อสิ่งภายนอก เป็นทาสของวัตถุภายนอกโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรารักษาอิสรภาพและพัฒนาอิสรภาพที่แท้จริงให้เกิดขึ้น ถ้าเรารู้เท่าทันความจริง เราจะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นถูกต้องโดยใช้มันให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มคุณค่า ให้มันเป็นส่วนประกอบเสริมความสุข โดยที่ตัวเราเองสามารถมีความสุขได้โดยลำพังตนมากขึ้นๆ

คนที่พัฒนาตัวเองมากขึ้น มีความสุขอยู่ภายในจิตใจของตนเองอยู่แล้ว แม้ไม่มีสิ่งเหล่านั้นมาให้ความสุข ก็สามารถมีความสุขได้ เมื่อมีสิ่งเหล่านั้นมาเป็นตัวประกอบเราก็มีความสุขส่วนเสริมขึ้นอีก มีมันเราก็มีความสุข ไม่มีมันเราก็อยู่ได้ ไม่ใช่คนที่เป็นทาสของสิ่งภายนอก ซึ่งมีสภาพที่ว่า มีมันจึงอยู่ได้ ถ้าขาดมันแล้วชีวิตหมดความหมาย อยู่ไม่ได้เลย

ฉะนั้น จะต้องพัฒนาชีวิตไปสู่ความมีอิสรภาพ ซึ่งหมายถึงอิสรภาพของความสุขด้วย คือความสุขที่มีได้โดยอิสระของตนเอง ความสุขที่เป็นไทแก่ตนเอง ที่ไม่ต้องขึ้นต่อสิ่งภายนอกมากเกินไป หรืออย่างน้อยมีความสุขที่เป็นอิสระของตนเองอยู่ภายในแล้ว ก็จะสามารถใช้อามิสวัตถุภายนอกเป็นเครื่องประกอบเสริมความสุขได้อย่างถูกต้อง และไม่เป็นโทษ นอกจากนี้ ยังโยงต่อไปถึงการรู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งทั้งหลายที่ตัวเองได้สร้างขึ้นมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือสิ่งของก็ตาม

เนื้อหาในเว็บไซต์นอกเหนือจากไฟล์หนังสือและไฟล์เสียงธรรมบรรยาย เป็นข้อมูลที่รวบรวมขึ้นใหม่เพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ โดยมิได้ผ่านการตรวจทานจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ผู้ใช้พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือหรือเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง